ประวัติความเป็นมาอำเภอบ้านผือ
จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีชุมชนโบราณซึ่งเป็นร่องรอยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคหินใหม่ต่อเนื่องถึงยุคโลหะกระจายอยู่ทั่วไปในอำเภอบ้านผือโดยมีแหล่งโบราณคดีที่สำคัญคืออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น มีลักษณะทางธรณีวิทยาอยู่ในหมวดหินภูพานของหินชุดโคราช เป็นหินทรายสีเเดงของมหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic) มีอายุตั้งเเต่ปลายยุคไทรแอสซิค (245 - 208 ล้านปี) – ครีเทเชียส (146 – 65 ล้านปี) จนถึงยุคเทอร์เชียรีของมหายุคซีโนโซอิค (65 – 5 ล้านปี) โดยชั้นหินทรายนี้วางตัวอยู่บนพื้นผิวของหินมหายุคพาลีโอโซอิกตอนบน (286 - 245 ล้านปี)
เพิงหินรูปร่างต่างๆที่พบในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น เกิดจากการที่ชั้นหินทรายเเต่ละชั้นมีความคงทนต่อการกัดเซาะตามธรรมชาติที่เเตกต่างกัน โดยหินทรายชั้นกลางเป็นหินทรายเนื้ออ่อนที่มีการจับตัวของผลึกเเร่ไม่เเน่น จึงสึกกร่อนจากการกัดเซาะได้ง่ายกว่าหินชั้นบนเเละชั้นล่างซึ่งเป็นหินทรายปนหินกรวดมน เนื้อเเน่นเเข็ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเพิงหินที่มีส่วนกลางคอดเว้าคล้ายดอกเห็ด หรือสึกกร่อนจนเหลือเพียงเสาค้ำตามมุมคล้ายโต๊ะหิน กลายเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตามองดูราวกับว่าก้อนหินเหล่านี้ถูกยกขึ้นมาวางโดยมนุษย์
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่า บริเวณพื้นที่เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 5,000-7,000 ปี จากหลักฐานการค้นพบที่ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่อำเภอ บ้านผือ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการศึกษาประวัติศาสตร์ และโบราณคดีระหว่างประเทศว่าชุมชนที่เป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์
ก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สืบต่อมาอีกจนกระทั่งสมัยประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย นับตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พ.ศ.1200-1600) สมัยลพบุลี (พ.ศ.1200-1800) และสมัยสุโขทัย (พ.ศ.1800-2000) จากหลักฐานที่พบคือใบเสมาสมัยทวาราวดีลพบุรี และภาพเขียนปูนบนผนังโบสถ์ที่ปรักหักพังบริเวณเทือกเขาภูพานใกล้วัดพระพุทธบาทบัวบกอำเภอบ้านผือ
ที่ตั้งและอาณาเขต
อำเภอบ้านผือตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
ทิศเหนือติดต่อกับอำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานีอำเภอสังคม และอำเภอโพธิ์ตาก (จังหวัดหนองคาย)
ทิศตะวันออกติดต่อกับอำเภอท่าบ่ออำเภอสระใคร (จังหวัดหนองคาย) อำเภอเพ็ญ และอำเภอเมืองอุดรธานี
ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอกุดจับ
ทิศตะวันตกติดต่อกับอำเภอสุวรรณคูหา(จังหวัดหนองบัวลำภู) และอำเภอน้ำโสม
พื้นที่
• ทั้งหมด 991.2 ตร.กม. (382.7 ตร.ไมล์)
ประชากร (2564)
• ทั้งหมด 109,811 คน
• ความหนาแน่น 110.79 คน/ตร.กม. (286.9 คน/ตร.ไมล์)
รหัสไปรษณีย์ 41160
รหัสภูมิศาสตร์ 4117
ที่ตั้งที่ว่าการ ที่ว่าการอำเภอบ้านผือ ถนนชนบทบำรุง ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี 41160
ลักษณะทั่วไป
เป็นที่ราบสูงเชิง เขาภูพาน ประกอบด้วยทุ่งนา ป่าไม้ ภูเขา พื้นที่เหมาะแก่การทำนา ทำไร่ ลำน้ำที่สำคัญที่หล่อเลี้ยงพื้นที่มีหลายสาย แต่เป็นสายเล็กๆ ที่สำคัญมีห้วยน้ำโมง หรือลำน้ำโมง ไหลแต่ภูเขาภูพานผ่านตำบลจำปาโมง ตำบลบ้านผือ ตำบลกลางใหญ่ ผ่านอำเภอท่าบ่อไปออกแม่น้ำโขง และมีลำน้ำสายเล็กอีกหลายสาย เช่น ลำน้ำฟ้า ลำน้ำงาว ลำน้ำซีด ลำน้ำสวย ห้วยคุก
ประชากร
ประชากร ส่วน ใหญ่ของบ้านผือเป็นไทพวน อพยพจากแคว้นเชียงขวาง หรือทรานนินห์ มาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น พวนกลางใหญ่ถูกต้อนมาตั้งแต่ครั้งศึกเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ และไม่ยอมลงไปอยู่ภาคกลาง ขอตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกลางใหญ่มาจนทุกวันนี้ อีกพวกอพยพ หรือถูกกวาดต้อนมาครั้งศึกฮ่อ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2428 - 2436 พวนพวกนี้จะตั้งถิ่นฐานที่อำเภอบ้านผือ บ้านหายโศก บ้านลาน บ้านม่วง บ้านค้อ บ้านเมืองพาน บ้านติ้ว บ้านกาลึม พวนพวกนี้อพยพมาจากเมืองแมด เมืองกาสี สบแอด เชียงค้อ และอีกพวก คือ พวนที่อพยพหาที่ทำกินจากอำเภอทุ่งยั้ง จังหวัดอุตรดิตถ์ มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านนาสีดา นอกจากนี่ยังมีพวกลาวเวียง (เวียงจันทน์) ที่อพยพเข้ามาอยู่รอบๆ กับพวน และไทอีสานอื่น ปัจจุบันมีพวกลาวจากอำเภอวังสะพุง มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านใหม่ บ้านกาลึม บ้านหนองกาลึม เข้ามาปะปน เกิดการประสมประสานทางวัฒนธรรม แต่วัฒนธรรมที่มั่นคงอันได้แก่ วัฒนธรรมพวน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ พิธีกรรม และภาษา
บ้านผือมิได้เป็นแต่เพียงแหล่งที่ตั้งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ความสำคัญของบ้านผือนั้น ยังเคยเป็นชุมชนที่ล้านช้างเข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมาก เคยอยู่ในอำนาจล้านช้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เคยเป็นเส้นทางเดินทัพของล้านช้าง และเป็นเส้นทางการปฏิวัติรัฐประหารของล้านช้างมาก่อน วัฒนธรรมของล้านช้างจึงมีอยู่มากมายในบ้านผือ บ้านกาลึมเคยเป็นที่เกิดของสังฆราชที่ยิ่งใหญ่ของล้านช้าง คือญาคูโพนเสม็ด (ญาคูลืมบอง) ชาวบ้านกาลึมเป็นลูกศิษย์ของญาคูลืมบอง ได้ไปบวชเรียนในอาณาจักรล้านช้าง คือเวียงจันทน์ และได้ช่วยให้เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร เจ้าชายล้านช้าง ได้ขึ้นเสวยราชเป็นพระเจ้าล้านช้าง เป็นผู้ก่อสร้างปฏิสังขรณ์ศาสนสถานมากมายในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งแต่เวียงจันทน์ขึ้นไปจนถึงนครจำปาศักดิ์ และเลยเข้าไปในแดนเขมร
ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อทรงหลบราชภัยจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ที่ยกทัพเข้าตีเมืองเวียงจันทน์ หลวงพระบางได้ ก็ใช้เส้นทางจากเวียงจันทน์เข้าศรีเชียงใหม่ โพธิ์ตาก บ้านผือ และไปหลบซ่อนส้อมสุมกำลังพลที่สุวรรณคูหา ขอให้ดูลักษณะศิลปกรรม ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป เสมา การจำหลัก เจดีย์ต่างๆ และยังปรากฏจารึกที่เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่า พระองค์ทรงประกาศกัลปนาที่บริเวณวัดถ้ำถวายแด่พระศาสนา การหลบลี้หนีพระราชภัยของ พระวอ พระตา ที่หลบหนีพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ ก็อาศัยเส้นทางจากศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ มาบ้านผือ และเข้าไปตั้งชุมชนอยู่ที่หนองบัวลำภู หรือนครเขื่อนขัณฑ์กาบแก้วบัวบาน เมื่อพระตาเสียชีวิตในการรบ พระวอจึงหนีไปอยู่ที่ดอนมดแดง อุบลราชธานี และถูกฆ่าที่ดอนมดแดง เป็นเหตุให้เจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีเวียงจันทน์ และได้เวียงจันทน์ไว้ในอำนาจแต่นั้นมา
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านท่าบ่อเกลือเป็น เมืองท่าบ่อ เมื่อปี พ.ศ. 2438 มีพระกุประดิษฐ์บดีเป็นเจ้าเมืองตลอดชีวิต เขตเดิมมี "นายเส้น" (เป็นตำแหน่งคล้ายกับนายอำเภอและกำนัน) รวม 6 เส้น มีบรรดาศักดิ์เป็นขุน เช่น ขุนท่าบ่อบำรุง นายเส้นท่าบ่อ และขุนวารีรักษา นายเส้นน้ำโมง เป็นต้น จนกระทั่งเจ้าเมืองท่าบ่อถึงแก่อสัญกรรม จึงยุบเมืองท่าบ่อลงเป็น อำเภอท่าบ่อ และยุบนายเส้นท่าบ่อ น้ำโมง โพนสา ลงเป็นตำบลและแยกเป็น 10 ตำบลดังปัจจุบัน ส่วนอีก 3 เส้นก็ได้รับการยกฐานะและแยกออกไป คือ เส้นพานพร้าวเป็นอำเภอศรีเชียงใหม่ เส้นแก้งไก่เป็นอำเภอสังคม เส้นบ้านผือเป็นอำเภอบ้านผือและถูกโอนไปขึ้นกับเมืองอุดรธานี
อำเภอบ้านผือ สำเนียงภาษาท้องถิ่นชาวบ้านเรียกกันว่า บ้านปรือ ด้วยมีเรื่องเล่าสืบต่อมาว่าเดิมทีบริเวณแห่งนี้มีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งชื่อ หนองปรือ เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันก็คงมีอยู่ แต่ขนาดเล็กลงไป ประชาชนในบริเวณนี้และใกล้เคียงได้อาศัยน้ำจากหนองนี้เป็นประจำ เห็นจะเป็นประโยชน์ด้วย หนองน้ำนี้มีประโยชน์ต่อชาวบ้าน การตั้งหมู่บ้านจึงได้ตั้งตามชื่อหนองว่า หนองปรือ นานวันเสียงพูดก็เพี้ยนเป็น บ้านผือ จนปัจจุบัน ตามหลักฐานปรากฏว่า ที่ว่าการอำเภอบ้านผือ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2447 บริเวณบ้านถ่อน หมู่ 3 ตำบลบ้านผือ โดยมีพระบริบาลภูมิเขตต์ เป็นนายอำเภอคนแรก อยู่ได้ 18 ปี ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2473 ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านศรีสำราญ หมู่ 8 ตำบลบ้านผือ เหตุที่ย้ายเนื่องมาจากบริเวณดังกล่าวขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภค โดยก่อสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอบ้านผือเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ ซ่อมแซมเมื่อ พ.ศ. 2513 จนกระทั่งวันที่ 12 ตุลาคม 2535 จึงได้เปิดใช้อาคารหลังปัจจุบัน
การปกครองส่วนท้องถิ่น
ท้องที่อำเภอบ้านผือประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 14 แห่ง ได้แก่
เทศบาลตำบลบ้านผือ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลบ้านผือ
เทศบาลตำบลคำบง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคำบงทั้งตำบล
เทศบาลตำบลกลางใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกลางใหญ่ทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านผือ (นอกเขตเทศบาลตำบลบ้านผือ)
องค์การบริหารส่วนตำบลหายโศก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหายโศกทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลเขือน้ำ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเขือน้ำทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลโนนทอง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโนนทองทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลข้าวสาร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลข้าวสารทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลจำปาโมง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลจำปาโมงทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองพาน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเมืองพานทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลคำด้วง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคำด้วงทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหัวคู ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองหัวคูทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านค้อ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านค้อทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลหนองแวง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองแวงทั้งตำบล